“เราถือว่าปฏิบัติการเพื่อความยุติธรรมและการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงโลกเป็นมิติหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของการประกาศพระวรสาร” (ยล 6)
1. ความเข้าใจเรื่องความยุติธรรม
1.1 ความคิดหลักเรื่องความยุติธรรม มีพื้นฐานมากจากหลักเหตุผลและหลักธรรมชาติ ซึ่งหยั่งรากลึกในธรรมชาติของมนุษย์ กล่าวคือ
1.1.1 มนุษย์ในฐานะที่เป็นบุคคลจะอยู่โดดเดี่ยวตามลำพังคนเดียวไม่ได้ “Man is not an island”
1.1.2 มนุษย์ต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสิ่งที่มีชีวิตอื่น คือ กับพระเจ้า / สิ่งสูงสุด กับเพื่อนมนุษย์ และกับธรรมชาติ
1.1.3 ใน
การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นหรือสิ่งที่มีชีวิตอื่น
เรียกร้องความยุติธรรมที่มิใช่แต่เพียงเราทำกับผู้อื่นหรือเพื่อผู้อื่น
แต่เป็นความยุติธรรมที่เราต้องทำกับตนเองด้วย
ความยุติธรรมจึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญของการเจริญชีวิตจิต
ในการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ความ
ยุติธรรมในมุมมองนี้ คือ การมีสัมพันธภาพอย่างมีดุลยภาพที่ถูกต้อง
สร้างสรรค์ และมีเสรีภาพ ในระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และมนุษย์กับพระเจ้า / สิ่งสูงสุด
1.2 ประเภทความยุติธรรมในสังคม
ความยุติธรรมในสังคม ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และในระดับสังคมประเทศชาติ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.2.1 ความยุติธรรมในการแลกเปลี่ยน (Commutative Justice / Reciprocal Justice) เป็นความยุติธรรมที่อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือกลุ่ม ที่มีข้อตกลงระหว่างกัน บนความถูกต้องและเท่าเทียมกัน
1.2.2 ความยุติธรรมในการแบ่งปัน (Distributive Justice) เป็น
ความยุติธรรมที่อยู่ในความสัมพันธ์ของสังคมใหญ่
ที่มีส่วนช่วยเหลือและแบ่งปันทรัพย์สิน ความมั่งคั่ง วิทยาการต่างๆ
แก่ภาคส่วนอื่นๆ ของสังคม โดยมีหลักคิดว่าทุกคน ต้อง
มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ และมีโอกาสเข้าถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของสังคม
อย่างเท่าเทียมกัน ความยุติธรรมในการแบ่งปันนี้
มีพื้นฐานความคิดมาจากเรื่องความดีของส่วนรวมหรือคุณประโยชน์ของส่วนรวม (Common Good) ซึ่งถ้าผนวกกับคำสอนของพระเยซูเจ้าในพระวรสารนักบุญมัทธิว 5:40-42 ความยุติธรรมในการแบ่งปันนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่า นั่นคือ การแบ่งปันตาม ความ
จำเป็นของผู้รับ กล่าวคือ
ผู้ที่มีความจำเป็นมากกว่าต้องได้รับส่วนแบ่งมากกว่า และที่สำคัญที่สุดคือ
เป็นความรับผิดชอบของผู้ที่มีมากกว่าต่อผู้ที่มีน้อยกว่า
ความยุติธรรมในลักษณะนี้เป็นบ่อเกิดแห่งความยุติธรรมในสังคม
1.2.3 ความยุติธรรมในทางกฎหมาย (Legal Justice) เป็น
ความยุติธรรมที่อยู่ในการดำรงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของบุคคล ระหว่างบุคคล
กลุ่มบุคคลต่างๆ ในทุกภาคส่วนของสังคม
และในสังคมใหญ่ความยุติธรรมในสังคมต้องมีองค์ประกอบของความยุติธรรมทั้ง 3 ประการ
นี้ จึงสรุปได้ว่า ความยุติธรรมในสังคมคือ การที่มนุษย์ยอมรับกัน
เคารพและปฏิบัติต่อกันและกัน เพื่อนำมาซึ่งความยุติธรรมในการแบ่งปัน
การช่วยเหลือกัน อันจะทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ
การเมือง สังคม และวัฒนธรรม
2. พื้นฐานแนวคิดความยุติธรรมในสังคม
ความยุติธรรมในสังคมมีรากฐานมาจากการไขแสดงของพระเจ้าในคริสตศาสนา โดยทางพระคัมภีร์ และจากคำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร
2.1 พระธรรมเดิม
2.1.1 งานสร้างมนุษย์ “ให้
เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล
ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆ
ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน พระจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามฉายาของพระองค์
ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น
และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง” (ปฐก 1:26-27)
ก. มนุษย์มีเกียรติและมีศักดิ์ศรี:
“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายา ตามอย่างของเรา” เพราะมนุษย์....
· มีจิตวิญญาณ มีความเป็นอมตะ-ความไม่มีขอบเขต
· มีสติปัญญา มีความคิดสร้างสรรค์
· มีอิสระภาพ อำเภอใจ น้ำใจ ความรัก
· รู้จักใช้เหตุผล มีวิจารณญาณ มีมโนธรรมสำนึก ความรับผิดชอบ
· มีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ภาษา และความเชื่อ
เอกลักษณ์
และคุณลักษณะเด่นๆ เหล่านี้
เป็นการแบ่งปันชีวิตของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ทำให้แตกต่างจากสรรพสิ่ง
สรรพสัตว์ และทำให้มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน
เป็นสิ่งสร้างที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งสร้างทั้งหลาย
มนุษย์จึงต้องเคารพศักดิ์ศรียกย่องและให้เกียรติแก่กันและกัน
ข. พระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แก่มนุษย์ พระองค์ทรงให้เกียรติแก่มนุษย์ในการครอบครองและปกครอง.... “ให้ครอบครอง.... และปกครอง...”
· มนุษย์ต้องทำงาน – หน้าที่
การงานจึงนำมาซึ่งเกียรติและทำให้ชีวิตมนุษย์มีคุณค่า
ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
ในหน้าที่การงานที่มนุษย์ทำนี้ยังหมายถึงการสานต่องานสร้างของพระเจ้า
· พระ
เจ้าประทานทรัพยากรให้แก่มนุษย์ทุกคน ทุกคนมีสิทธิในการครอบครองและปกครอง
จึงต้องมีการแบ่งปันทรัพยากรแก่กันและกัน พร้อมกับเคารพสิทธิของกันและกัน
· การครอบครองและการปกครองสิ่งสร้างนั้น มิใช่ลักษณะของการเอาเปรียบธรรมชาติ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสุรุ่ยสุร่าย – ไม่บันยะบันยัง – ไม่
เคารพธรรมชาติ
แต่มนุษย์ต้องมีท่าทีของการเคารพธรรมชาติและบำรุงรักษาธรรมชาติ
เพื่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างเกื้อกูลกันและกัน และส่งเสริมกันและกัน
ค. ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ – ในเกียรติและศักดิ์ศรีของชายและหญิง “ทรงสร้างให้เป็นชาย และเป็นหญิง”
· ไม่ใช่ชายใหญ่ (สูง) กว่าหญิง หรือหญิงใหญ่ (สูง) กว่าชาย
· ความเป็นชายและความเป็นหญิง เป็นคุณค่าที่เสริมสร้าง – เกื้อกูลกันและกันในการดำรงชีวิต และเติมชีวิตให้สมบูรณ์
· มนุษย์ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพี่น้องร่วมในองค์พระบิดาเดียวกัน
ความ
ยุติธรรมมีรากฐานมาจากการเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของบุคคล
มาจากการเคารพและตระหนักว่าทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับในสิ่งที่เขาต้องการหรือ
มีความจำเป็นในการดำรงชีวิต
และมาจากการเคารพว่าทุกคนมีเอกสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตนเองที่จะดำเนิน
ชีวิต
2.1.2 พระเจ้าเปิดเผยตัวพระองค์เป็นผู้ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่เมื่อมีการกระทำที่อยุติธรรม
พระเจ้าตรัสว่า “เรา
เห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว
เราได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายงาน
เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆ ของเขา
เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น
ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม
และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์...........” (อพย 3:7-10)
2.1.3 พระคัมภีร์ได้อธิบายความยุติธรรมว่าเป็นธรรมชาติของพระเจ้า
· “เพราะพระเจ้า เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม” (อสย 30:18)
· “เพราะทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงตรงแก่ข้าพระองค์” (สดด 9:4)
ความ
ยุติธรรมมิใช่เป็นเรื่องของนามธรรม
ประชากรชาวอิสราเอลมีประสบการณ์กับธรรมชาติและกิจการการปลดปล่อยของพระเจ้า
จำต้องสนองตอบด้วยการมีความเชื่อและปฏิบัติความยุติธรรมต่อเพื่อนบ้านด้วย
เช่น ฉลบ 24:14-15, สดด 106:3และ อสย 58:6-10
2.2 พระธรรมใหม่
2.2.1 พันธกิจการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้า “พระ
จิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้
ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า”(ลก4:18-19)
2.2.2 พระเยซูเจ้าทรงรวมมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์ ด้วย
ชีวิตและงานประกาศข่าวดี
ทรงถวายตัวพระองค์ทั้งครบแด่พระบิดาเจ้าเพื่อการปลดปล่อยมนุษย์
และดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุด “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40) และทรงสอนให้มนุษย์มีความยุติธรรมต่อสังคมการเมือง “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” (มธ 22:21)
2.2.3 พระเยซูเจ้าทรงประกาศบทบาทของพระเจ้าในวิถีชีวิตของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมสำหรับผู้ขัดสนและผู้ถูกกดขี่ ในธรรมเทศนาบทแรกของพระองค์ (ลก 6:21-23)
2.2.4 นักบุญเปาโล สอน
ให้คริสตชนเจริญชีวิตในความเชื่อที่แสดงออกมาด้วยการปฏิบัติตนต่อผู้อื่น
ด้วยหัวใจที่รักรับใช้ ซึ่งหมายถึงการยอมรับในศักดิ์ศรีและสิทธิของผู้อื่น
ยิ่งคริสตชนแสดงความรักและการรับใช้ผู้อื่นมากเท่าใด
ก็จะค้นพบอิสรภาพและความปิติสุขภายในใจมากขึ้นเท่านั้น
พร้อมทั้งสามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้พบกับอิสรภาพและการหลุดพ้นจากความ
ทุกขเวทนาต่างๆ มากขึ้นด้วย
การเจริญชีวิตคริสตชนด้วยความรักและการรับใช้นี้
จะทำให้ความยุติธรรมสมบูรณ์ (ยล34)
2.3 คำสอนด้านสังคมของพระศาสนจักร
2.3.1 พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักรในโลกสมัยนี้ (Gaudium et Spes 1965)
ก. พระศาสนจักรต้องเอาใจใส่ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม และเป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวมนุษย์ “ความ
ชื่นชมและความหวัง ความโศกเศร้า และความกังวลของมนุษย์ ในสมัยนี้
เป็นต้นของคนยากจน และผู้มีความทุกข์เข็ญทั่วไป
ย่อมถือว่าเป็นความชื่นชมและความหวัง
เป็นความโศกเศร้าและความกังวลของผู้เป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าด้วย” (ศลน 1)
ข. เป็นสิทธิและความรับผิดชอบของศิษย์ที่ติดตามพระคริสต์ จำต้องทำงานปกป้องศักดิ์ศรีของแต่ละบุคคลอย่างเข้มแข็ง (ศลน 3) และใช้พรสวรรค์อันเป็นของประทาน เพื่อรับใช้ซึ่งกันและกัน (ศลน 7) ทั้งนี้ ไม่ใช่ปัจเจกบุคคลเท่านั้น ที่ได้รับความรอด แต่ทุกคนได้รับความรอดในองค์พระคริสต์ “ขอให้แต่ละคนถือว่าเพื่อนมนุษย์ โดยไม่ยกเว้นแต่คนเดียวเป็นตัวของตนอีกคนหนึ่ง” ก่อน
อื่นให้คำนึงถึงชีวิตของเขาและปัจจัยที่เขาจำเป็นต้องมีเพื่อดำรงชีวิตอย่าง
สมควร เราต้องทำตัวของเราเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนทุกคน
ต้องรับใช้เขาอย่างแข็งขัน ไม่ว่าเป็นคนชรา ที่ใครๆ ทอดทิ้ง
กรรมกรต่างชาติที่ถูก ดูหมิ่น.... คนถูกเนรเทศ....
เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ไม่ได้สมรสกันตามกฎหมาย... ไม่ว่าจะเป็นคนหิวโหย...
ขอให้เราระลึกถึงพระวาจาของพระคริสตเจ้าที่ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใด ต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ 25:40) (ศลน 27)
2.3.2 เอกสารความยุติธรรมในโลก (Justice in the World 1971) สมัชชา
พระสังฆราช ถือเป็นหน้าที่ของพระศาสนจักรในการส่งเสริมความยุติธรรม
โดยยืนยันว่า
การปฏิบัติความยุติธรรมและการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงโลกเป็นมิติหนึ่ง
ที่เป็นองค์ประกอบของการประกาศพระวรสาร (ยล 6) กล่าว
อีกนัยหนึ่งคือ ภารกิจการช่วยให้รอดของพระศาสนจักร
มิได้จำกัดแต่การช่วยด้านชีวิตฝ่ายวิญญาณ
แต่ต้องเข้าไปมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ฝ่ายโลก กล่าวคือ ด้านสังคม
การเมือง และเศรษฐกิจด้วย
2.3.3 สมณสาสน์การเฉลิมฉลองปีที่หนึ่งร้อย (Centesimus Annus 1991) พระศาสนจักรยืนยันว่า ในการส่งเสริมความยุติธรรมจำต้องอาศัยความรัก “เป็นความรักที่มีต่อผู้อื่น เฉพาะอย่างยิ่งเป็นความรักต่อคนจน ซึ่งพระศาสนจักรมองเห็นพระคริสตเจ้าในบุคคลเหล่านั้น” (ฉปร 58)
2.3.4 สารวันสันติสากลประจำปี (Message on Day of Peace) สันติภาพเกิดจากการถือความยุติธรรม “ไม่
มีสันติภาพ หากไม่มีความยุติธรรม และจะไม่มีความยุติธรรม
หากไม่มีการให้อภัย... สันติภาพที่แท้จริงคือ
ผลพวงของความยุติธรรมโดยมีคุณธรรม ศีลธรรมและหลักประกันทางกฎหมาย
เป็นสิ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะมีการเคารพสิทธิและความรับผิดชอบอย่างครบถ้วน
และจะมีการกระจายผลประโยชน์และภาระต่างๆ อย่างเป็นธรรม...
ความยุติธรรมที่สมบูรณ์จึงต้องประกอบด้วยการให้อภัย
ซึ่งจะช่วยสมานแผลให้หายสนิท
และฟื้นฟูความสัมพันธ์อันร้าวฉานของมนุษย์ให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวได้อย่าง
จริงจัง” (สส 2002 ข้อ 15, คำสอนด้านสังคมฯ ภาคอ้างอิง หน้า 190)
3. งานของพระศาสนจักรที่ส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม
ในบทสอนของนักบุญเปาโล เกี่ยวกับความรักและความยุติธรรม เป็นคุณธรรม 2 ประการ
ที่แยกออกจากกันไม่ได้ในพันธกิจส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม
ความรักและความยุติธรรมสะท้อนความสัมพันธ์ของศาสตร์ความรักและความเมตตา
กับจริยธรรมทางสังคมของคริสตชน ซึ่งปรากฏเด่นชัดในพันธกิจของพระศาสนจักร 2 ประการคือ
3.1 งานสังคมสงเคราะห์ (Social Service / love / charity) งาน
ในลักษณะนี้ ตอบสนองต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น
เป็นงานที่อยู่ในมิติของความสนใจ ความห่วงใจ ความสงสาร มีเมตตาธรรม
และแสดงออกโดยการช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน คนยากจน ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
ผู้ด้อยโอกาส เช่น การให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหย
การบริจาคเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ หรือการไปเยี่ยมเยียนผู้ต้องขัง
การดูแลเด็กกำพร้า ผู้เจ็บป่วยและคนชรา เป็นต้น
3.2 งานพัฒนาสังคม (Social Action / justice) งาน
ในลักษณะนี้ เป็นการศึกษาเชิงปฏิบัติการ เพื่อแก้ไขต้นเหตุของปัญหา
เป็นพันธกิจที่ช่วยกันแก้ไขโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม
เน้นหนักไปที่การค้นพบต้นเหตุของความทุกข์ยาก
ที่เกิดขึ้นกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่าความอยุติธรรมในสังคม
และนำไปสู่การแสวงหาแนวทางเพื่อการเยียวยา การแก้ไขต้นเหตุและปัจจัย
ที่สร้างความอยุติธรรมนั้นๆ
พร้อมกับวางแผนงานพัฒนาชุมชนอย่างเป็นกระบวนการและต่อเนื่อง
โดยเน้นการพึ่งตนเองและการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นสำคัญ
อัน
ที่จริงแล้ว งานสังคมสงเคราะห์ งานพัฒนาสังคม
และงานส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม
เป็นงานสามประสานที่เกื้อกูลและเสริมสร้างกันและกัน
โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันที่ต้องการปลดปล่อยให้ตัวบุคคลหรือกลุ่มชนให้เป็น
อิสระจากความทุกข์เข็ญในด้านต่างๆ ดังนั้นในขณะที่เราทำงานสังคมสงเคราะห์
เราก็เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจำเป็นพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น เมื่อคนๆ
หนึ่งเดินเข้ามาในบ้านของเรา และขออาหาร เพราะเขาตกงาน
และเราให้อาหารเขาต่อมาก็หางานให้เขาทำ (เพราะเขาตกงาน) นั่นก็เท่ากับว่า
เราทำงานสงเคราะห์และงานส่งเสริมความยุติธรรมในเวลาเดียวกัน
งาน
ส่งเสริมความยุติธรรมเป็นเครื่องมือที่ช่วยคนจน
ผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ถูกกระทำให้เข้าใจว่า
สังคมมีโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมอย่างไร
โครงสร้างนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างไร
และจะร่วมมือกันพัฒนาชุมชนหรือสังคมให้เกิดความยุติธรรมด้วยจิตตารมณ์ของ
ความรักและการรับใช้ ทั้งในเชิงโครงสร้างและการอยู่ร่วมกันได้อย่างไร
นอกจากนี้
ความยุติรรมยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยคนจนให้มีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า
ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่เคียงข้างผู้ต่ำต้อยเสมอ
4. การศึกษามีความสำคัญต่อการส่งเสริมความยุติธรรมในสังคมได้อย่างไร
4.1 ความยุติธรรมแบบปัจเจก
ปัญหา
ทุกวันนี้ คนไม่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งสำคัญ
ที่เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา
เพราะสังคมปัจจุบันให้ความสำคัญมากต่อการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัว
หรือสิ่งที่ตนเองพึงได้รับ มากกว่าความเห็นอกเห็นใจและการช่วยเหลือเกื้อกูล
ความยุติธรรมในสังคมปัจจุบัน เป็นผลสะท้อนสังคมแบบปัจเจกนิยม
เป็นความยุติธรรมแบบอัตตา เช่น
จะยุติธรรมก็ต่อเมื่อฉันเป็นฝ่ายได้ก่อนคนอื่น ได้มากกว่าคนอื่น
หรือจะยุติธรรม ก็ต่อเมื่อฉันเสียน้อยกว่าคนอื่น ซึ่งพอสรุปได้ว่า
ความเข้าใจเรื่องความยุติธรรมแบบปัจเจกนี้ เป็นผลมาจากการศึกษา
และระบบการเรียนการสอนที่ปลูกฝังเรื่องการแข่งขัน กล่าวคือ
ต้องได้ดีกว่าคนอื่น ต้องเก่งกว่าคนอื่น ต้องมีความสามารถกว่าคนอื่น
ซึ่งเป็นการหล่อหลอมวิธีคิด และการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนเองก่อน
คนอื่นทีหลัง
4.2 สถานศึกษา / โรงเรียน เป็นกลไกของสังคมที่มีหน้าที่สำคัญ คือ
4.2.1 เป็น
สถาบันที่หล่อหลอมความคิด และประสบการณ์ชีวิตเข้าด้วยกัน
กลายเป็นองค์ความรู้ที่สั่งสมมาตามวุฒิภาวะ
อันจะเป็นพื้นฐานของการสร้างอุดมการณ์และบุคลิกภาพในชีวิต
4.2.2 ปลูก
ฝังคุณธรรม สร้างมโนธรรม
อบรมบ่มนิสัยและขัดเกลาชีวิตของผู้เรียนให้เป็นคนดี มีจริยธรรม มีความสุข
มีความสำนึกดีต่อผู้อื่น ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคม
ยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องและเคารพในศักดิ์ศรี และความต่างของกันและกัน
4.2.3 สร้าง
บรรยากาศแห่งการอยู่ร่วมกันฉันพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน มีความอบอุ่น
มีความรัก ความเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือผู้อื่น
และร่วมกันพัฒนาศักยภาพและบุคลิกภาพของผู้เรียนและบุคลากรในสถานศึกษา
4.2.4 สถานศึกษา / โรงเรียน
คาทอลิก จึงเป็นกระบวนการหล่อหลอมชีวิตมุ่งสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญในการร่วมงานกับพระเจ้า
พระผู้สร้างในงานเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนตามวัยและวุฒิภาวะ
4.3 การให้การศึกษาเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมในสังคมของสถานศึกษา
4.3.1 การ
ให้การศึกษาเรื่องความยุติธรรม
เป็นการให้ความสำคัญต่อศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตมนุษย์
รวมถึงสิทธิของความเป็นมนุษย์ (สิทธิมนุษยชนศึกษา)
ทั้งของตนเองและของผู้อื่น มีสิทธิเท่าเทียมกัน
มีความเสมอภาคและอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพ
มีเมตตาธรรมและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อันจะนำมาซึ่งความผาสุก
ทั้งในชีวิตส่วนตัว ส่วนร่วมและสังคมวงกว้าง
4.3.2 การ
ศึกษาเรื่องความยุติธรรมในสังคม ควรมุ่งกระตุ้นให้ผู้เรียนมีชีวิตชีวา
รู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
และประมวลสรุปเป็นแนวทางหรือหลักปฏิบัติเพื่อกระทำกิจกรรมสรรค์สร้างชีวิต
ที่ดีงามอย่างมีพลังต่อไป ในช่วงวัยแห่งการศึกษานี้
ผู้เรียนควรผ่านประสบการณ์แห่งการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางสังคม
รู้จักวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ มีความเข้าใจถึงวิกฤตด้านศีลธรรมและชีวิตจิต
และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมตามวุฒิภาวะและในสถานการณ์ที่เหมาะสม
กล่าวโดยสรุป การศึกษาเพื่อความยุติธรรมในสังคม คือ
การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้ดีขึ้น
Brien Wren นักการศึกษา ได้กล่าวถึงความสำคัญของการศึกษาเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมในสังคมว่า มีคำกล่าวในอดีตดังนี้ “(ฉัน) ได้ยิน แล้วก็ลืม (ฉัน) เห็น แล้วก็จำ แต่หากฉันทำ ฉันก็เข้าใจ” การศึกษาที่นำความหวังมาสู่ชีวิตใหม่ คือ เราต้องเรียนรู้ความยุติธรรมจาก การกระทำ และปฏิบัติควบคู่ไปกับการไตร่ตรอง (Education for Justice, London:SCM Press 1977,P.11)
4.4 ข้อท้าทายต่อสถาบันการศึกษาคาทอลิก
4.4.1 สถาบัน
การศึกษาคาทอลิก
ต้องเป็นสนามชีวิตที่ให้การศึกษาเพื่อความยุติธรรมให้เป็นจริงเป็นจังมาก
ขึ้น
เป็นโอกาสให้ผู้เรียนได้สร้างความตระหนักและเข้าใจสาเหตุที่สลับซับซ้อนแห่ง
ความทุกข์ยากของมนุษย์
เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและเกราะป้องกันสำหรับผู้เรียนทุกคน
ให้หลุดพ้นจากอคติ จากความคิดที่เลือกข้าง มองคนอื่นเป็นเขา มิใช่เรา
อันเป็นผลมาจากความเป็นเลิศทางวิชาการ การแข่งขัน การชิงความได้เปรียบ
และมองข้ามความสำคัญของผู้อื่นที่มีโอกาสน้อยกว่า
ซึ่งเป็นผลพวงมาจากค่านิยมของทุนเสรีนิยมใหม่ในสังคมยุคปัจจุบัน
4.4.2 สถาบัน
การศึกษาคาทอลิกเป็นสถานที่บ่มเพาะ ปลูกฝังมโนธรรมสำนึกทางสังคม
และส่งเสริมการปฏิบัติความเมตตารักต่อผู้อื่น
ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติความยุติธรรมในสังคม เป็นสนามงานที่ฝึกปฏิบัติคุณธรรม
จริยธรรมและการอยู่ร่วมกันฉันพี่น้องดุจครอบครัวใหญ่เดียวกัน
โดยยึดจิตตารมณ์ของความรักและการรับใช้
และคุณประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ผล
ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
เราจะมีผู้ปกครองที่รับผิดชอบต่ออนาคตของบุตรหลานอย่างมีสำนึก
รู้เท่าทันและให้ความอบอุ่นในครอบครัว
มีครูที่ไม่ใช้อคติต่อลูกศิษย์หรือเลือกปฏิบัติ
แต่พร้อมที่จะอุทิศตนให้กับลูกศิษย์ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีโอกาสน้อยกว่า
มีนายจ้างที่ดูแลเอาใจใส่ลูกจ้างและให้ค่าแรงอย่างเป็นธรรม มีนักวิชาชีพ
เช่น แพทย์ที่มีความเมตตาและมนุษยธรรมในการรักษาผู้เจ็บป่วย
มีนักบัญชีที่โปร่งใส ยึดความถูกต้องและเป็นธรรม
มีวิศวกรที่ไม่แสร้งคำนวณผิด มีตำรวจที่ไม่มองผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนเลว
มีบุคลากรของพระศาสนจักรที่กล้าดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
รักความเป็นธรรมและอยู่เคียงข้างผู้ด้อยโอกาส
มีพวกเราทุกคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และยินดีช่วยเหลือทุกคนโดยไม่ลังเลใจ
ฯลฯ
5. ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาการศึกษาเพื่อความยุติธรรม
5.1 กรอบความคิด เรามุ่งหวังให้ผู้เรียนได้บรรลุเป้าหมายที่จะปฏิบัติความยุติธรรมในสังคมดังนี้
5.1.1 ผู้เรียนมีความตื่นตัวถึงประเด็นปัญหาอยุติธรรมที่เกิดขึ้น (การรับรู้–การสร้างความตระหนัก)
5.1.2 ผู้เรียนมีความสนใจ ห่วงใย และเห็นอกเห็นใจผู้ที่ประสบความอยุติธรรมมากขึ้น (อารมณ์ ความรู้สึก)
5.1.3 ผู้เรียนมีความมุ่งมั่นที่จะกระทำกิจการใดๆ เพื่อแก้ไขความอยุติธรรม (พฤติกรรม)
5.2 แนวทางที่เป็นไปได้ คือ
5.2.1 สนับ
สนุนเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวกัน
โดยจัดให้มีกระบวนการเปลี่ยนจากตนเองสู่ผู้อื่น
ดำรงชีวิตในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องอย่างมีดุลยภาพกับผู้อื่น กับธรรมชาติ /
สิ่งแวดล้อม และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า / สิ่งสูงสุดที่ผู้เรียนนับถือ
5.2.2 ส่ง
เสริมการศึกษาด้านสังคม โดยอาศัยการศึกษาข้อมูล ข่าวสาร ทางด้านสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา วัฒนธรรม ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต
และคุณค่าความเป็นมนุษย์
5.2.3 จัดให้มีกระบวนการให้การศึกษาอบรมเพื่อปลุกจิตสำนึก และสร้างมโนธรรมที่ถูกต้องทางสังคม เช่น กระบวนการศึกษาความจริงและร่วมชีวิต (Exposure Immersion) สนับสนุนให้ผู้เรียนเข้าร่วมชมรม วาย ซี เอส ฯลฯ
5.2.4 สร้างชุมชนปฏิบัติความยุติธรรม โดยเริ่มจากในห้องเรียน สถานศึกษา / โรงเรียน และในสังคม
5.2.5 เป็นตัวแทนในระดับนโยบาย ด้วยการทำหน้าที่ เป็นปากเป็นเสียง แทนผู้ที่ไม่สามารถสะท้อนปัญหาของตนเองออกมาได้
5.3 เนื้อหาของคำสอนด้านสังคม ในการทำงานส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม
5.3.1 ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
5.3.2 ความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต
5.3.3 ความเป็นครอบครัวและชุมชน
5.3.4 ความดีส่วนรวม หรือคุณประโยชน์ของทุกคน
5.3.5 สิทธิมนุษยชน / สันติภาพ
5.3.6 การอยู่เคียงข้างกับคนจน / ผู้ด้อยโอกาส
5.3.7 คนงานและสิทธิของคนงาน
5.3.8 ความร่วมมือช่วยเหลือกัน / ความเป็นปึกแผ่น
5.3.9 การเคารพในสิ่งสร้าง – ธรรมชาติ / สิ่งแวดล้อม
5.3.10 หัวใจของผู้สร้างสันติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น